คุณค่าพระวรสาร (Gospel Values) คือ คุณค่าที่พระเยซูสั่งสอนและเจริญชีวิตเป็นแบบอย่างแก่บรรดาสานุศิษย์และประชาชน ดังที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ตอนที่มีชื่อเรียกว่า “พระวรสาร” ซึ่งแปลว่า “ข่าวดี”
คำว่า “ข่าวดี” หมายถึง ข่าวดีแห่งความรอดพ้นของมนุษย์จากบาป หมายถึง สารความจริงอันประเสริฐที่ว่า พระเจ้ารักมนุษย์จนกระทั่งประทานพระบุตรมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไขแสดงพระองค์และสอนพระธรรมแก่มนุษย์ พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป และทรงกลับคืนพระชนมชีพ เพื่อบันดาลให้มนุษย์ได้รับชีวิตนิรันดร
1 ความเชื่อศรัทธา (Faith)
(ฮบ 11:1) ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นหลักฐานมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
(1ธท 4:7) ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว
(กท 3:11) คนชอบธรรมจะมีชีีีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ
(รม 5:1) เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า
2.ความจริง (Truth)
(อฟ 5:9) ด้วยว่าผลของพระจิตเจ้าคือ ความดีทุกอย่างและความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น
(1ทธ 2:4) ผู้ทรงมีพระประสงค์ให้คนทั้งปวงรอด และให้มาถึงความรู้ในความจริงนั้น
(3ยน 1:4) ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ข้าพเจ้ายินดียิ่งกว่านี้ คือที่ได้ยินว่าบุตรทั้งหลายของข้าพเจ้าดำเนินตามความจริง
3.การไตร่ตรอง/ภาวนา (Reflection/Prayer)
(ฟป 4:8-9) สิ่งใดจริง สิ่งใดประเสริฐ สิ่งใดชอบธรรม สิ่งใดบริสุทธิ์ สิ่งใดน่ารัก สิ่งใดควรยกย่อง ถ้ามีสิ่งใดเป็นคุณธรรม ถ้ามีสิ่งใดน่าสรรเสริญ ท่านจงพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยการใคร่ครวญเถิด สิ่งต่าง ๆ ที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ฟังและได้เห็นในตัวข้าพเจ้านั้น จงนำไปปฏิบัติเถิด
(อฟ 5:17-18) จงพยายามเข้าใจว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด จงยอมให้พระจิตเจ้าทรงนำชีวิตของท่าน
(ธส 5:17) จงอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
(คส 4:2) จงอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ อย่าละเลยที่จะขอบพระคุณ
(รม 8:26) พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานภาวนาขอสิ่งใดที่เหมาะสม แต่พระจิตเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาวอนขอแทนเราด้วยคำที่ไม่อาจบรรยาย
4.มโนธรรม/วิจารณญาณ/ความกล้าหาญ (Conscience/Discernment/Courage)
(1ทธ 1:19) จงยึดความเชื่อและมโนธรรมที่ดีไว้
(ฮบ 13:18) เรามั่นใจว่าเรามีมโนธรรมบริสุทธิ์ เพราะเราปรารถนาที่จะประพฤติดีทุกโอกาส
(คส 2:8) จงระวังให้ดี เกรงว่าจะมีผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญา และด้วยคำล่อลวงอันไม่มีสาระตามธรรมเนียมของมนุษย์ ตามหลักการต่างๆที่เป็นของโลก ไม่ใช่ตามคำสอนของพระคริสต์
(รม 12:21) อย่าให้ความชั่วเอาชนะท่าน แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
(1ธส 5:5-6) ท่านเป็นบุตรแห่งความสว่าง ท่านมิได้อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด ดังนั้นจงอย่าหลับไหลเช่นผู้อื่น จงตื่นอยู่เสมอ
5.อิสรภาพ (Freedom)
(กท 5:1) พระคริสตเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระแล้ว ฉะนั้นจงยืนหยัดมั่นคง และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
(กท 5:13-14) พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มารับอิสรภาพ
(รม 6:18) และเมื่อเป็นไทพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็มาเป็นทาสรับใช้ความชอบธรรม
6.ความยินดี (Joy)
(1ธส 5:16) จงร่าเริงยินดีเสมอ
(กท 5:22) ผลของพระจิตเจ้าก็คือความรัก ความยินดี ความสงบ
(2คร 7:4) แม้จะประสบความยากลำบากทุกอย่าง ข้าพเจ้าก็มีกำลังใจและมีความยินดีเต็มเปี่ยม
(2คร 9:7) แต่ละคนจงให้ตามที่ตั้งใจไว้ มิใช่ให้โดยนึกเสียดาย มิใช่ให้โดยฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้า ทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจ
(รม 8:18) ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ในปัจจุบันเปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะทรงบันดาลให้ปรากฏแก่เรา
7.ความเคารพ/ศักดิ์ศรี (Respect/Dignity)
(กท 3:26,28) ท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า ไม่มีชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่มีทาสหรือไท ไม่มีชายหรือหญิงอีกต่อไป เพราะท่านทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน
(1ปต 2:5) ท่านเป็นเหมือนศิลาที่มีชีวิตกำลังก่อสร้างขึ้น เป็นวิหารของพระจิตเจ้า
(รม 13:12) กลางคืนล่วงไปมากแล้ว กลางวันก็ใกล้จะมาถึง ดังนั้น เราจงละทิ้งกิจการของความมืดมนเสีย แล้วสวมเกราะของความสว่าง
(คส 1:15) พระองค์ทรงเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่เรามองไม่เห็น ทรงเป็นบุตรคนแรกในบรรดาสิ่งสร้างทั้งปวง
8.ความซื่อตรง (Regularity)
(1ทธ 5:25) การกระทำที่ดีย่อมปรากฏให้เห็นได้ชัด การกระทำที่ไม่ดีก็ไม่อาจปิดซ่อนไว้ได้เช่นเดียว กัน
(รม 13:13-14) เราจงดำเนินชีวิตอย่างมีเกียรติเหมือนกับเวลากลางวัน มิใช่ปล่อยตัวอย่างผิดศีลธรรม มิใช่วิวาทริษยา แต่จงดำเนินชีวิตโดยสวมพระเยซู คริสตเจ้าเป็นอาภรณ์ อย่าทำตามความต้องการของเนื้อหนัง
(2คร 4:2) เราละทิ้งการกระทำเร้นลับที่น่าอับอาย เรามิได้ใช้เล่ห์กลหลอกลวง และมิได้บิดเบือนพระวาจาของพระเจ้า ตรงกันข้าม เราประกาศความจริงอย่างเปิดเผยเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า เสนอตนให้มนุษย์ทุกคนตัดสินความประพฤติของเรา
(2คร 8:21) เราตั้งใจที่จะทำความดี มิใช่เฉพาะพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ต่อหน้ามนุษย์อีกด้วย
(2คร 13:7) เราอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าว่า ขออย่าให้ท่านทำสิ่งใดผิด ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าเราผ่านการทดสอบแล้ว แต่เพื่อให้ท่านทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้คนทั่วไปอาจคิดว่าว่าเราไม่ผ่านการทดสอบก็ตาม
9.ความเรียบง่าย (Simplicity)
(ปต 5:7) จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน
(ฟป 4:11-12) ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพของตน รู้จักมีชีวิตอยู่อย่างอดออม และรู้จักมีชีวิตอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกกรณี เผชิญกับความอิ่มท้องและ ความหิวโหย เผชิญกับความมั่งคั่งและความขัดสน
(1ธส 5:6) จงตื่นอยู่เสมอ และจงประมานตน
(2คร 9:8) พระเจ้าประทานพระหรรษทานทุกประการแก่ท่านได้อย่างอุดม เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งพอเพียง
(2คร 3:5) ทั้งนี้มิใช่เพราะเราพอเพียงด้วยตัวเราเอง โดยคิดว่าเราทำสิ่งใดได้ด้วยตนเอง แต่ความ พอเพียงของเรานั้นมาจากพระเจ้า
10.ความรัก (Love)
(1ยน 3:23) นี่เป็นบทบัญญัติของพระองค์ คือ ให้เรารักกัน ดังที่พระองค์ทรงบัญญัติให้เรา
(1ยน 4:7-9) เราจงรักกันเพราะความรักมาจากพระเจ้าและทุกคนที่มีความรัก ย่อมบังเกิดจาก พระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อ เราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น
(1ยน 4:11-12) ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรง ดำรงอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์
(1คร 13:4-7) ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความ ถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง
(ปต 1:22) เมื่อท่านทั้งหลายนอบน้อมเชื่อฟังความจริง ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จนรักกันฉันพี่น้องแล้ว ก็จงรักกันจากใจจริงยิ่ง ๆ ขึ้นเถิด
(รม 12:9-10) จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน
(รม 12:13-14) จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องคริสตชนในยามขัดสน จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี จงอวยพรผู้ที่เบียดเบียนท่าน จงอวยพรเขา อย่าสาปแช่ง
11.ความเมตตา (Compassion, Charity)
(อฟ 4:32) ท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่าน
(คส 4:6) จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส
(ยก 2:13) เพราะว่าผู้ที่ไม่แสดงความเมตตาย่อมจะได้รับการพิพากษาโดยปราศจากความเมตตา แต่ความเมตตาย่อมก่อให้เกิดความชื่นชมยินดีมากกว่าการพิพากษา
12.ความกตัญญูรู้คุณ (Gratitude)
(ธส 5:18) จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณิี เพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ในพระคริสตเยซู
(อฟ 5:20) จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาอยู่เสมอสำหรับทุกสิ่ง
(อฟ 6:1-2) บุตรทั้งหลาย จงเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า “จงให้เกียรติบิดามารดา” เป็นพระบัญญัติแรก ซึ่งมีพระสัญญาควบคู่อยู่ด้วยว่า “แล้วท่านจะอยู่บนแผ่นดินอย่างเป็นสุข”
13.การงาน (Work)
(2คร 9:6) ผู้ที่หว่านเมล็ดพืชมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก
(อฟ 4:28) ใช้มือทำงานอย่างสุจริต เพื่อจะได้มีบางสิ่งมาแบ่งปันแก่ผู้ขัดสน
(1ธส 4:11) เอาใจใส่ที่จะดำเนินชีวิตอย่างสงบ ต่างคนต่างทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน
(รม 15:27) เพราะถ้าคนต่างศาสนาได้มีส่วนในสมบัติฝ่ายจิต พวกเขาก็มีหน้าที่ที่จะรับใช้คริสตชนที่ กรุงเยรูซาเล็มในความต้องการฝ่ายกายด้วย
(ฟป2:13,16) พระเจ้าทรงทำงานในท่านเพื่อให้ท่านมีทั้งความปรารถนาและความสามารถที่จะทำงานตามพระประสงค์ จงยึดพระวาจาแห่งชีวิตมั่นไว้ เพื่อข้าพเจ้าจะได้ภาคภูมิใจว่าข้าพเจ้ามิได้วิ่งและตรากตรำทำงานโดยเปล่าประโยชน์
14.การรับใช้ (Service)
(รม 12:7, 11) ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะรับใช้ ก็จงรับใช้ อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจกระตือรือร้นในการรับใช้ องค์พระผู้เป็นเจ้า
(กท 5:13-14) จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก เพราะธรรมบัญญัติทั้งหมดสรุปได้เป็นข้อเดียวว่า จงรักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักตนเอง
(ฮบ 12:28) ดังนั้น จงขอบพระคุณ และรับใช้พระเจ้าตามพระประสงค์ด้วยความเคารพยำเกรง
(รม 16:18) เพราะพวกเขาไม่รับใช้พระคริสต์ แต่รับใช้ท้องของตนเอง และใช้วาจาไพเราะประจบประแจง มาหลอกลวงจิตใจของคนซื่อ
15.ความยุติธรรม (Justice)
(ฟป 4:8) ในที่สุดนี้ สิ่งใดที่จริง สิ่งใดที่ยุติธรรม คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ ก็ขอจงใคร่ครวญดูสิ่งเหล่านี้
(คส 4:1) ฝ่ายนายก็จงทำแก่เหล่าคนรับใช้ของตนตามความยุติธรรมและสม่ำเสมอกัน เพราะท่านรู้ว่าท่านก็มีนายองค์หนึ่งในสวรรค์ด้วย
(ฮบ 1: 9) “ท่านรักความยุติธรรม และเกลียดชังความชั่ว ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าของท่านจึงทรงเจิมท่านด้วยน้ำมันแห่งความยินดีเหนือบรรดาสหายของท่าน”
(ฮบ 6: 10) พระเจ้าไม่ทรงอยุติธรรมถึงกับจะทรงลืมกิจการที่ท่านได้กระทำ
16.สันติ/การคืนดี (Peace/Reconciliation)
(2คร 13:11) จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และพระเจ้าแห่งความรักและ สันติสุขจะทรงสถิตอยู่กับท่าน
(คส 3:15) และจงให้สันติสุขแห่งพระเจ้าครอบครองอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย ในสันติสุขนั้นทรง เรียกท่านทั้งหลายไว้ให้เป็นกายอันเดียวด้วย
(ยก 3:18) ผลแห่งความชอบธรรมก็หว่านลงในสันติสุขของคนเหล่านั้นที่ก่อให้เกิดสันติสุข
(อฟ 2:14) เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
17.การอภัย (Forgiveness)
(อฟ 4:26) ‘โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป’ อย่าปล่อยให้ตะวันตกดินขณะที่ใจของท่านยังโกรธอยู่
(อฟ 4:32) ท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรด อภัยโทษให้ท่าน
(คส 3:13) จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน หากมีเรื่องผิดใจกันก็จงยกโทษกัน องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงให้อภัยความผิดของท่านอย่างไร ท่านก็จงให้อภัยแก่เขาอย่างนั้นเถิด
(ยก 5:15) การอธิษฐานด้วยความเชื่อจะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิต และพระเจ้าจะทรงโปรดให้เขาหายโรค และถ้าเขาได้กระทำบาป ก็จะทรงโปรดอภัยให้แก่เขา
(รม 12:19) พี่น้องที่รักยิ่ง อย่าแก้แค้นเลย แต่จงให้พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษเถิด ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะตอบแทนการกระทำของทุกคน” พระเจ้าตรัสดังนี้
18.ความเป็นหนึ่ง/ความเป็นชุมชน (Unity/Community)
(รม 12:13) จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องคริสตชนในยามขัดสน จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี
(รม 12:16) จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่ามักใหญ่ใฝ่สูง แต่จงยอมทำสิ่งต่ำต้อยเถิด อย่าทะนงว่าตนฉลาด
(1คร 1:10) ให้ท่านปรองดองกัน อย่าแตกแยก แต่จงมีจิตใจและความเห็นตรงกัน
(1คร 12:4-5) เพราะร่างกายของเรามีองค์ประกอบหลายส่วน และส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีหน้าที่เดียวกันฉันใด แม้เราจะมีจำนวนมาก เราก็รวมเป็นร่างกายเดียวในพระคริสตเจ้าฉันนั้น โดยแต่ละคนต่างเป็นส่วนร่างกายของกันและกัน
(1คร 12:20, 25-26) มีอวัยวะหลายส่วน แต่มีร่างกายเดียว อวัยวะแต่ละส่วนจะเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ถ้าอวัยวะหนึ่งเป็นทุกข์ อวัยวะอื่น ๆ ทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะอื่น ๆ ทุกส่วนก็ร่วมยินดีด้วยเช่นเดียวกัน
(อฟ 4:3-4) พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว
(อฟ 4:13) เราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อ
19.การพิศเพ่งธรรมชาติสิ่งสร้าง (Wonder)
(ฮบ 11:3) โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
(รม1:20) ตั้งแต่เมื่อทรงสร้างโลก คุณลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นได้ของพระเจ้า คือพระอานุภาพนิรันดร และเทวภาพของพระองค์ ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปัญญามนุษย์ในสิ่งที่ทรงสร้าง
(รม 8:21) ถึงกระนั้น สิ่งสร้างยังมีความหวังว่า จะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความเสื่อมสลาย เพื่อไปรับอิสรภาพอันรุ่งเรือง
20.ความหวัง (Hope)
(รม 5:4) ความอดทนทำให้เกิดมีประสบการณ์ และประสบการณ์ทำให้เกิดมีความหวัง
(รม 5:5) ความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความละอาย เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่ จิตใจของเราโดยทางพระจิตเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว
(รม 8: 25) แต่ถ้าเราหวังสิ่งที่เรามองไม่เห็น เราก็ย่อมมีความมานะพากเพียรรอคอยสิ่งนั้น
(รม 12:12) จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก
(รม 15:13) ขอพระเจ้าแห่งความหวังทรงโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขในความเชื่อ เพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระจิตเจ้า
(ฮบ 6:11) เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคนแสดงความกระตือรือร้นต่อไปจนกว่าความหวังของท่านจะสำเร็จบริบูรณ์ในวาระสุดท้าย